ไข้อีดำอีแดง

มาทำความรู้จัก ไข้อีดำอีแดง

ผู้ปกครองหลายท่าน อาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคไข้หวัดกันมาบ่อยครั้ง แต่อาจจะยังไม่เคยรู้จักไข้อีดำอีแดง ที่กำลังระบาดในช่วงนี้ วันนี้จะพามาทำความรู้จักโรคนี้กัน 

.

ไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่เกิดจาก เสตร็ปโตคอสคัสชนิดเอ (Streptococcus group A) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญของคออักเสบ โรคนี้พบได้บ่อยในเด็กอายุ 5-15 ปี และสามารถแพร่กระจายผ่านทางละอองฝอยจากการไอหรือจาม รวมถึงการสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ

.

อาการของไข้อีดำอีแดง

อาการของโรคมักปรากฏภายใน 1-4 วันหลังได้รับเชื้อ ผู้ป่วยมักจะมีอาการดังต่อไปนี้

  • ไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
  • เจ็บคอ คอหอยแดง ทอลซิลบวมแดง และอาจมีจุดหนองที่ต่อมทอนซิล
  • ลิ้นมีลักษณะเป็นตุ่มสีแดง คล้ายสตรอเบอรี่ (Strawberry tongue)
  • ผื่นแดง ผื่นเป็นเม็ดหยาบ ลูบแล้วสากคล้ายกระดาษทราย เริ่มจากลำคอ หน้าอกแล้วลามไปทั่วร่างกาย 
  • ผิวหนังที่มีผื่นอาจลอกหลังจากหายป่วย
  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอบวมและกดเจ็บ

 

.

การวินิจฉัยโรค

แพทย์สามารถวินิจฉัยไข้อีดำอีแดงได้ โดยตรวจอาการทางคลินิก เช่น ผื่น ลิ้นแดง และเจ็บคอ บางกรณีอาจใช้การตรวจตัวอย่างสารคัดหลั่งจากคอเพื่อยืนยันการติดเชื้อ Streptococcus group A

.

การรักษา

  • ใช้ยาปฏิชีวนะ กลุ่มเพนนิซิลิน(Penicillin) อะมอกซิซิลิน (Amoxycillin) หรือ อิริโทรมัยสิน (Erythromycin) เป็นเวลา 10 วัน
  • ให้ผู้ป่วยพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ
  • ใช้ยาบรรเทาอาการไข้ เช่น พาราเซตามอล หรือ ไอบูโพรเฟน
  • กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ หรือใช้สเปรย์พ่นคอ เพื่อลดอาการเจ็บคอ

.

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง มักเกิด 1-4สัปดาห์หลังจากการติดเชื้อ ได้แก่

  • โรคไข้รูมาติก (Rheumatic Fever)
  • โรคไตอักเสบเฉียบพลัน (Post-streptococcal glomerulonephritis)

.

การติดต่อ 

  • สูดดมเชื้อผ่านละอองฝอยของเสมหะจากการที่ผู้ป่วยไอ จามออกมา
  • สัมผัส น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือสารคัดหลั่ง โดยตรงจากผู้ป่วยหรือสัมผัสสิ่งของของผู้ป่วย

.

การป้องกันไข้อีดำอีแดง

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้ป่วย
  • ไม่แนะนำไปในสถานที่แออัด  หากมีความจำเป็นต้องไปแนะนำสวมหน้ากากอนามัย
  • หมั่นล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร
  • ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

.

แม้ว่าไข้อีดำอีแดงจะสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ ดังนั้นไม่ควรชะล่าใจควรรีบมาพบแพทย์หากมีอาการ

=============================

บทความโดย 

พญ. ปราญชลี  ศรีกาญจนวัชร 
โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล

แพทย์ผู้ชำนาญการด้านกุมารเวชศาสตร์ เฉพาะทางต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม
ประจำศูนย์กุมารเวช ( Pediatric Center ) 

ชั้น 2 โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล

โทร. 02-836-9999 กด 3

 

 

Visitors: 223,483